วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดาวจักรราศี



































































กลุ่มดาวจักรราศี

กลุ่มดาวจักรราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ออกไป ซึ่งเมื่อมองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้ ปรากฏแตกต่างกันไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซึ่งมนุษย์ในสมัยโบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็นสิ่งต่างๆ และมีการค้นพบ รูปของกลุ่มดาวจักรราศีวาดอยู่บนโลงศพของมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณด้วย ต่อมามนุษย์ได้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี 12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30 องศาเมื่อประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่าน จุดที่สุริยะวิถี เคลื่อนที่ตัดกับเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี ในเริ่มต้นของฤดูร้อน คือ กลุ่มดาวแกะ (Aries) กลุ่มดาวแกะจึงถูกเรียกในสมัยนั้นว่า March Equinox หรือ 0 Aries กลุ่มดาวถัดมา คือ กลุ่มดาววัว, กลุ่มดาวคนคู่, กลุ่มดาวปู, กลุ่มดาวสิงห์, กลุ่มดาวผู้หญิงสาว, กลุ่มดาวคันชั่ง, กลุ่มดาวแมงป่อง, กลุ่มดาวคนยิงธนู, กลุ่มดาวมกร, กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ และกลุ่มดาวปลาคู่ รวมเป็น 12 กลุ่มดาวจักรราศีต่อมา เมื่อประมาณ ค.ศ. 0 จุด Equinox ดังกล่าวได้ขยับ มาอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า the Age of Pisces หรือยุค the New Great Age นั่นเอง และคาดว่า ประมาณปี ค.ศ. 2600 จุดดังกล่าวจะขยับ เข้าสู่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) เริ่มต้นยุคที่เรียกว่า the Age of Aquariusโดยทุกๆประมาณ 2100 ปี จุด Equinox จะขยับไปทางทิศตะวันตกทีละ 1 จักรราศีนั่นเองเนื่องจากโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยที่แกนโลกเอียงทำมุมประมาณ 23.5 องศา กับ แนวตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ของโลก รอบดวงอาทิตย์ แกนดังกล่าวไม่ได้เอียงคงที่ แต่จะส่ายเช่นเดียวกับแกนของลูกข่าง ที่ส่ายในขณะที่หมุน และเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพียงแต่ขนาดของวงโคจร ที่โลกเคลื่อนที่ มีขนาดใหญ่กว่ามาก ทำให้คาบเวลาในการส่าย ใช้เวลานานถึง 26,000 ปี ซึ่งปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ ชี้ไปใกล้กับดาวเหนือ (Polaris) และจะชี้ไปใกล้ดาวเหนือมากที่สุด ประมาณปี ค.ศ.2100 และในอีกประมาณ 13,000 ปีจากปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ จะชี้ไปใกล้ดาววีกา (Vega) ในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้จุด Vernal Equinox ค่อยๆขยับ ไปทางทิศตะวันตกช้าๆ ปีละประมาณ 50 ฟิลิปดา (50/3600 องศา) นั่นเอง ในอดีตกาล ดาวขั้วฟ้าเหนือของชาวอียิปต์โบราณ ประมาณ 4800 ปีมาแล้ว คือ ดาวทูบาน (Thuban) ในกลุ่มดาวมังกร (Draco) ซึ่งเป็นดาวดวงที่ 3 นับจากหางรูปมังกร ซึ่งทำให้ปิระมิดของชาวอียิปต์ มีช่องจากภายใน ชี้ไปดาวทูบานนั่นเอง













































กลุ่มดาวแกะ

Ari - Arietis / ARIES - The Ram

กลุ่มดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวอันดับแรกของกลุ่มดาวจักรราศี อยู่ระหว่างกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) และกลุ่มดาววัว (Taurus) โดยมีดาวที่สังเกตได้ง่ายในกลุ่ม 3 ดวง คือ ดาวอัลฟา, เบตา และแกมมา อยู่ในตำแหน่งของหัวแกะ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า เที่ยงคืนของประมาณวันที่ 22 ตุลาคม
กลุ่มดาวแกะ เมื่อครั้งสมัยกรีกโบราณ (1000 ปีก่อนคริสตศักราช) เคยเป็นกลุ่มดาวที่ แนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ตัดกับแนวเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี ในฤดูใบไม้ผลิ (ราววันที่ 21 มีนาคมของทุกปี) เราเรียกจุดนี้ว่า "The March Equinox" หรือ "0 Aries" หรือปัจจุบันเรียกว่า "The Vernal Equinox"
ในปัจจุบัน จุดดังกล่าวได้ขยับไปอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) แล้ว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน "กลุ่มดาวจักรราศี"

- Hamal, 2.00, Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏเท่ากับ 2.00 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 66 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "" (Lamp)
- Sheraton, 2.64, White มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.64 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 60 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "Mark" หรือ "Sign" เนื่องจาก จุด "March Equinox" หรือ "0 Aries" อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุด ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสตศักราช












กลุ่มดาววัว

Tau - Tauri / TAURUS - The Bull

กลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สองของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถี สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เพราะมีดาวสุกสว่างหลายดวง เช่น ดาวตาวัว (Aldebaran, -Tau) และมีกระจุกดาวที่คนไทยรู้จักกันดี คือกระจุกดาวลูกไก่ (The Pleiades - The Seven Sisters) กลุ่มดาววัว อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) เราสามารถเห็นดาวตาวัวเป็นสีแดง อยู่ใกล้กับกระจุกดาวลูกไก่ โดยที่หน้าของวัว จะหันไปทางทิศตะวันออก ชูเขาวัวอยู่เหนือกลุ่มดาวนายพราน ปลายเขาของวัวข้างหนึ่งแตะกับกลุ่มดาวสารถี (Auriga) ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นดาวที่อยู่ร่วมกัน ระหว่างกลุ่มดาววัว และกลุ่มดาวสารถี เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนปลายเดือนพฤศจิกายน, ต้นเดือนธันวาคม
- Aldebaran, 0.85, Pale Red ดาวอัลเดบารอน หรือชื่อไทยว่า ดาวตาวัว เป็นดาวฤกษ์แปรแสงสีแดงส้ม มีความสว่างปรากฏระหว่าง 0.75-0.95 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 5 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 65 ปีแสง ชื่อดาว "Aldebaran" หมายถึง ผู้ติดตาม เนื่องจากมันขึ้น และตกตากกระจุกดาวลูกไก่นั่นเอง นอกจากนี้ ดาวตาวัว ยังเป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ (Regulus, -Leo), ดาวตาวัว (Aldebaran, -Tau), ดาวปาริชาต (Anteres, -Sco) และดาวโฟมาออท (Fomalhaut, -PsA) ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกัน ประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศา) ทำให้เรามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่เสมอ
- Elnath,1.65, Blue-white ดาวเอลแนต มีความสว่างปรากฏเท่ากับ 1.65 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 131 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "ส่วนปลายของอาวุธ" (The butting one) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งปลายเขาของวัวด้านเหนือ เดิมเคยเป็นดาว -Aur ร่วมกับกลุ่มดาวสารถี แต่ปัจจุบัน ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดาววัว
- Taurus,3.0, Blue-white ดาวเซตาวัว เป็นดาวคู่ 2 ดวง มีความสว่างปรากฏเท่ากับ 3.0 และ 5.0 โคจรซึ่งกันและกัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 417 ปีแสง ชื่อดาว อยู่ในตำแหน่งปลายเขาของวัวด้านใต้
M1 - The Crab Nebula เนบิวลารูปปู - มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา อยู่ด้านบนของปลายเขาด้านใต้ (-Tau) ปัจจุบัน เป็นซากของ Supernova ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1597 (ค.ศ.1054) ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนนานหลายปี ที่ชื่อเนบิวลารูปปูเนื่องจาก มีรูปร่างคล้ายปูนั่นเอง (Photo By: David Malin)

M45 - Pleiades, 2.87 กระจุกดาวลูกไก่ - เป็นกระจุกดาวที่มีชื่อเสียง และอยู่ใกล้โลกมากที่สุด ห่างจากโลกประมาณ 212 ปีแสง มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.87 ดาวที่สว่างที่สุด ในกลุ่มกระจุกดาว คือ ดาวอัลซีโอเน (Alcyone, -Tau) กระจุกดาวลูกไก่ อยู่ในตำแหน่งของโหนกวัว สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า 6-8 ดวง ส่วนชื่อ พลิอะดีส (Pleiades) เป็นภาษาละติน หมายถึง ลูกสาวทั้งเจ็ด (The seven sisters) ของ Titan Atlas และ Pleione โดยมีชื่อดังนี้: Alcyone, Electra, Maice, Merope, Taygeta, Calae และ Sterope (Photo By: David Malin)

The Hyades, 0.5 กระจุกดาวไฮแอดส์ (หรือสามเหลี่ยมหน้าวัว) - เป็นกระจุกดาวเปิดที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า เรียงกันเป็นรูปหน้าวัว (ตัว V) ไม่รวมดาวตาวัว ส่วนคนไทยจะเห็นเป็นรูปธง จึงเรียกว่า "กลุ่มดาวธง" ห่างจากโลกประมาณ 140 ปีแสง มีความสว่างปรากฏประมาณ 0.5 ชื่อกระจุกดาว "ไฮแอดส์" (Hyades) หมายถึง "Rainy ones" เนื่องจาก จะเริ่มมองเห็นกลุ่มดาววัว ในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยมาพร้อมกับฝน หรือพายุนั่นเอง













กลุ่มดาวคนคู่

Gem - Geminorum / GEMINI - The Twins

กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สามของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถี อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างที่สังเกตง่าย และอยู่ใกล้กัน 2 ดวง คือ ดาวคาสเตอร์ (Caster, -Gem) และดาวพอลลักซ์ (Pollux, -Gem) ซึ่งดาวทั้งสองอยู่ในตำแหน่งศีรษะของคนคู่ และเท้าของคนคู่ทั้งสอง อยู่บนทางช้างเผือก (The Milky Way) ส่วนคนไทยเห็นกลุ่มดาวคนคู่ เรียงกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายโลงศพ จึงเรียกชื่อกลุ่มดาวนี้ว่า "กลุ่มดาวโลงศพ" และเห็นดาวสามดวงที่อยู่ตรงด้านข้างโลงเหมือน นกกาที่มาเกาะโลงอยู่ แล้วเรียกกลุ่มดาวดังกล่าวว่า "กลุ่มดาวกา" เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนของเดือนมกราคม
- Caster, 1.94, Blue-White ดาวคาสเตอร์ เป็นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ (Double Star) ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดย 2 ดวงแรก (ชื่อ Caster A และ Caster B) มีความสว่างปรากฏเท่ากับ 1.94 และ 2.92 ตามลำดับ โดยโคจรรอบกันและกันประมาณ 510 ปีต่อรอบ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 52 ปีแสง ดาวคาสเตอร์ เป็นศีรษะของหนึ่งในสองคนของคนคู่

- Pollux,1.14, Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏเท่ากับ 1.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 34 ปีแสง ชาวอารบิก เรียกดาวพอลลักซ์ อีกชื่อหนึ่ง ว่า "Rasalgeuse" หมายถึง "ศีรษะของคนคู่"

- Alhena, 1.93, Blue-White เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 1.93 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 105 ปีแสง

M35 - Open Cluster, 5.1 เป็นกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) ในกลุ่มดาวคนคู่ มองเห็นค่อนข้างยากด้วยตาเปล่า อยู่เหนือดาวเอตา (Eta, -Gem) ประมาณ 2 องศา ประกอบด้วยดาวฤกษ์สว่างประมาณ 200 ดวงขึ้นไป มีความสว่างปรากฏประมาณ 5.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2200 ปีแสง














กลุ่มดาวปู

Cnc - Cancri / CANCER - The Crab

กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สี่ของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่มีความสว่างปรากฏน้อยที่สุดในกลุ่มดาวจักรราศี ซึ่งไม่มีดาวดวงใดในกลุ่มดาวเลย ที่มีความสว่างปรากฏ น้อยกว่า 4.0 กลุ่มดาวปู อยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนคู่ (Gemmini) และกลุ่มดาวสิงโต (Leo) โดยกลุ่มดาวปู จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืน ของปลายเดือนมกราคม และต้นเดือนกุมภาพันธ์


- Acubens, 4.3, White เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงินขาว มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.3 ชื่อดาว หมายถึง "ก้ามปู" (The Claw)

- Altarf, 3.52 มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.52 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 290 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "ปลายขาปู"

- Asellus Borealis, 4.7, Pale Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.7 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 230 ปีแสง ชื่อดาวแกมมาและเดวตารวมกัน หมายถึง "ลา" (The Assess)

- Asellus Austrailis, 4.2, Pale Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.2 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 220 ปีแสง ชื่อดาวแกมมาและเดวตารวมกัน หมายถึง "ลา" (The Assess)

M44 - The Beehive Cluster or Praesepe Open Cluster, 3.1 กระจุกดาวรวงผึ้ง เป็นกระจุกดาวเปิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะมองเห็นเป็นฝ้า มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 3 เท่าของดวงจันทร์ (ประมาณ 80 ลิปดา) ประกอบด้วยดาวฤกษ์เกือบ 100 ดวง มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 520 ปีแสง ชื่อกระจุกดาว หมายถึง "รางหญ้า" (The Manger) (Photo by: Naoyuki Kurita)


กลุ่มดาวสิงโต

Leo - Leonis / LEO - The Lion

กลุ่มดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวอันดับที่ห้าของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถีที่สังเกต และจดจำได้ง่าย โดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวในส่วนหัวของสิงโต จะเรียงกันเป็นรูปเครื่องหมายคำถามกลับด้าน (Reversed Question Mark) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวเรกูลัส (Regulus, -Leo) ซึ่งจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวหัวใจสิงห์ ซึ่งเป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) เราสามารถเห็นกลุ่มดาวสิงโต ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนเดือนมีนาคม

- Regulus or Cor Leonic, 1.35, Blue-white ดาวหัวใจสิงห์ (ดาวเรกูลัส) เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาวที่อยู่บนแนวสุริยวิถี มีความสว่างปรากฏประมาณ 1.35 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 21 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว "Regulus" หมายถึง หัวใจสิงห์ เป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ (Regulus, -Leo), ดาวตาวัว (Aldebaran, -Tau), ดาวปาริชาต (Anteres, -Sco) และดาวโฟมาออท (Fomalhaut, -PsA) ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกัน ประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศา) ทำให้เรามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่เสมอ นอกจากนี้ ดาวหัวใจสิงห์เป็นดาวคู่ โดยโคจรรอบดาวฤกษ์อีกดวง ซึ่งกันและกัน พอมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา

- Denebola, 2.14, White ดาวเดเนบโบลา มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "หางสิงโต" (The lion's tail) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหางสิงโตพอดี โดยดาว Denebola เป็นดาวคู่เช่นกัน แต่ไม่สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก

- Algieba, 2.2, Orange-yellow ดาวอัลจีบา เป็นดาวคู่ มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.2 และ 3.47 สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก อยู่ห่างจากโลกประมาณ 126 ปีแสง โคจรรอบซึ่งกันและกัน โดยใช้เวลาประมาณ 620 ปีต่อรอบ ชื่อดาว หมายถึง "หน้าผาก" (The Forehead) แต่จริงๆแล้ว อยู่ในตำแหน่งคอของสิงโต นอกจากนี้ เราสามารถเห็นฝนดาวตกสิงโต (Leonid Meteor Shower) ได้ตรงตำแหน่งประมาณ 2 องศา ไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ของดาวดวงนี้ โดยจะเห็นมากสุดทุก 33 ปี โดยครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999)

- Adhafera, 3.44 ดาวแอดฮาเฟอรา เป็นดาวคู่เช่นกัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 260 ปีแสง โดยที่อีกดวง มีความสว่างปรากฏประมาณ 6 พอมองเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องสองตา

M95, M96, M105 - The Galaxy M95 และ M96 เป็นกาแลกซีแบบกังหัน (Spiral Galaxy) ส่วน M105 เป็นกาแลกซีแบบทรงกลม (Elliptical Galaxy) กล้องสองตา อยู่ห่างจากดาวหัวใจสิงห์ (Regulus, -Leo) ไปทางตะวันออก ประมาณ 9 องศา อยู่ห่างจากโลกประมาณ 30 ล้านปีแสง จากกาแลกซีทางช้างเผือก มีความสว่างปรากฏประมาณ 9.7, 9.2 และ 9.3 ตามลำดับ (Photo By: David Malin)



กลุ่มดาวหญิงสาว

Vir - Virginis / VIRGO -The Virgin, The Maiden

กลุ่มดาวหญิงสาว หรือกลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวอันดับที่หกของกลุ่มดาวจักรราศี มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สอง รองจากกลุ่มดาวงูไฮดรา (Hydra) กลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ทางซีกฟ้าใต้ มีลำตัวทอดยาวขนานไปตามแนวสุริยวิถี (อยู่ด้านเหนือของสุริยะวิถี) มีดาวฤกษ์สุกสว่าง คือ ดาวรวงข้าว (Spica, -Vir) เป็นดาวฤกษ์ที่เห็นได้เด่นชัดและหาได้ง่าย โดยลากเส้น จากแนวหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ (หรือกลุ่มดาวจระเข้) (Ursa Major) โค้งไปตามแนวโค้งของหาง ราว 30 องศา จะผ่านดาวดวงแก้ว (Arcturus, -Boo) และต่อไปอีกประมาณ 30 องศา ก็จะเป็นดาวรวงข้าวนี้

ถ้ามองไปทางซีกฟ้าใต้ กลุ่มดาวหญิงสาว จะอยู่สูงจากกลุ่มดาวม้าครึ่งคน (Centaurus) ประมาณ 30-40 องศา โดยกลุ่มดาวหญิงสาว จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนเมษายน

- Spica, 1.0, Blue-white ดาวรวงข้าว หรือดาวสไปกา เป็นดาวแปรแสง มีความสว่างปรากฏระหว่าง 0.97-1.04 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 262 ปีแสง ดาวรวงข้าว อยู่ในตำแหน่งก้านของรวงข้าว ที่หญิงสาวถือไว้ด้วยมือซ้าย คำว่า "Spica" มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ไม่สามารถสู้ได้" (Defenceless or unarmed one) เนื่องจาก ไม่มีดาวฤกษ์ที่สว่างใด ใหล้เคียงบริเวณนั้น และถ้ามองไปตามแนวสุริยวิถี จะพบว่า ดาวรวงข้าว จะอยู่ประมาณกึ่งกลางระหว่าง ดาวหัวใจสิงห์ (Regulus, -Leo) และดาวปาริชาต (Anteres, -Sco) โดยห่างไปประมาณ 50 องศา

- Zavijava, 3.8, Yellow ดาวซานิซจาวา เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.8 ปัจจุบัน จุด Autumnal Equnix ก็อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุด

- Porrima, 2.76, Yellowish-white ดาวพอร์ริมา เป็นดาวคู่ มีความสว่างปรากฏรวมประมาณ 2.76 สามารถเห็นทั้งคู่ได้ ด้วยกล้องดูดาว หรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ทั้งคู่มีความสว่างปรากฏ ประมาณ 3.5 ทั้งสองดวง โคจรรอบซึ่งกันและกัน ใช้เวลาประมาณ 169 ปีต่อรอบ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 39 ปีแสง ชื่อดาว "พอร์ริมา" เป็นชื่อเทพธิดาแห่งการทำนาย ในสมัยโรมัน (the Roman Goddess of Prophecy) ดาวดวงนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "Carmenta"

- Auva, 3.38, Red เป็นดาวฤกษ์ยักษ์สีแดง มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.38 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 202 ปีแสง มีอีกชื่อหนึ่งว่า "Minalava"

- Vindemiatrix, 2.83, Yellow ดาววินดามิอาทริกซ์ มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.83 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 102 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งแขนขวาของหญิงสาว ชื่อดาวมาจากภาษาละติน หมายถึง "ผู้เก็บเกี่ยวต้นองุ่น" (The femaie grape-gatherer) ซึ่งในอดีต ดาวดวงนี้เป็นสัญญาณบอกถึง การเข้าสู่ฤดูการทำไวน์นั่นเอง

The Virgo Cluster of Galaxies กระจุกกาแล็กซีในกลุ่มดาวหญิงสาว เป็นกระจุกดาวที่มีกาแล็กซีจำนวนมาก ในกลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ในบริเวณศีรษะของหญิงสาว ระหว่างกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) ห่างจากโลกโดยเฉลี่ยประมาณ 65 ปีแสง มีความสว่างปรากฏระหว่างช่วง 8.6-11.9 ได้แก่ M49, M58, M59, M60, M61, M84, M86, M87, M89, M90, M104 เป็นต้น

M87 - The Virgo A Galaxy, 8.6 มีชื่อว่า "The Virgo A Galaxy" มีความสว่างปรากฏประมาณ 8.6 เป็นกาแล็กซีแบบทรงกลม (The Elliptical Galaxy) ประเภท E0 ที่สว่างที่สุด ในกลุ่มดาวหญิงสาว อยู่ระหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และจะมีกาแล็กซี และกระจุกดาวทรงกลมมากมาย รอบๆบริเวณนี้ (Photo by: Yuuji Kitahara)

M104 - The Sombrero Galaxy, 8.3 เป็นกาแล็กซีที่มีความสว่าง อยู่ในอันดับต้นๆ ของกลุ่มดาวหญิงสาว เป็นกาแล็กซีแบบมีแขน (Spiral Galaxy) ประเภท Sa ถ้ากล้องโทรทรรศน์ มีกำลังขยายพอ จะเห็นเป็นแถบดำ คาดอยู่กลางกาแล็กซีนี้ อยู่ระหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) (Photo by: Yuuji Kitahara)

กลุ่มดาวคันชั่ง

Lib - Librae / LIBRA - The Scales

กลุ่มดาวคันชั่ง เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เจ็ดของกลุ่มดาวจักรราศี อยู่ระหว่างกลุ่มดาวหญิงสาว (Virgo) และกลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius) โดยกลุ่มดาวนี้ อยู่ตรงหน้า ของส่วนหัวแมงป่อง โดยที่ดาวอัลฟา (Zuben Elgenubi, -Lib) อยู่บนแนวสุริยะวิถี (Ecliptic) พอดี จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนพฤษภาคม

- Zuben Elgenubi, 2.75, Blue-White เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน เป็นดาวคู่ มีความสว่างปรากฏประมาณ 5.2 และ 2.8 ตามลำดับ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง โดยชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ก้ามด้านใต้" (the Southern Claw) เนื่องจากครั้งหนึ่ง เคยเป็นก้ามของแมงป่อง ของกลุ่มดาวแมงป่องมาก่อน

- Zuben Eschamali, 2.61, Emerald Green เป็นดาวฤกษ์ที่มีสีออกสีเขียว ซึ่งหาดูค่อนข้างยาก มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.61 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 160 ปีแสง โดยชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ก้ามด้านเหนือ" (the Northern Claw) เนื่องจากครั้งหนึ่ง เคยเป็นก้ามของแมงป่อง ของกลุ่มดาวแมงป่องมาก่อนเช่นกัน

- Brachium, 3.3 เป็นดาวแปรแสง ที่มีความสว่างปรากฏระหว่างประมาณ 3.2 - 3.36 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 292 ปีแสง


กลุ่มดาวแมงป่อง

Sco - Scorpii / SCORPIUS - The Scorpion

กลุ่มดาวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาวอันดับที่แปดของกลุ่มดาวจักรราศี และเป็นกลุ่มดาวแนวกาแล็กซี่ ทางช้างเผือก (The Milky Way) พาดผ่าน เราสามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ เป็นรูปแมงป่องได้ชัดเจน และมีขนาดใหญ่ ตั้งแต่หัวถึงหาง ยาวถึงประมาณ 30 องศาเลยทีเดียว กลุ่มดาวแมงป่อง จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนมิถุนายน โดยเมื่อขึ้นไปสูงสุดบนท้องฟ้า จะอยู่ทางทิศใต้ สูงจากขอบฟ้าประมาณ 45 องศา

- Antares, 0.9, Red ดาวแอนทาเรส เป็นดาวฤกษ์ยักษ์สีแดง (Supergiant) มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ ประมาณ 400 เท่า เป็นดาวคู่ มีความสว่างปรากฏประมาณ 0.9 ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่สว่าง เป็นอันดับ 15 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 604 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "เทียบเท่า หรือคู่แข่งของดาวอังคาร" (the Rival to Ares) โดยที่ Ares หมายถึง ดาวอังคาร (The Roman Mars) เนื่องจาก มีสีแดงคล้ายดาวอังคารนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "Cor Scorpii" ซึ่งหมายถึง หัวใจแมงป่อง (the Heart of Scorpion) ส่วนคนไทย เรียกชื่อดาวดวงนี้ว่า "ดาวปาริชาต"

- Acrab or Graffias, 2.62, Blue-White เป็นดาวในระบบดาวคู่ที่อยู่ใกล้กันมาก มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.62 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 530 ปีแสง

- Dschubba, 2.32, Blue-White เป็นดาวในระบบดาวคู่ที่อยู่ใกล้กันมาก มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.32 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 522 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "หน้าผากของแมงป่อง" (the Forehead of the Scorpion)

- Shaula, 1.6, Blue-White เป็นดาวแปรแสง มีความสว่างปรากฏระหว่างประมาณ 1.59-1.65 คาบประมาณ 0.21 วัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 359 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "หางเหล็กไนของแมงป่อง" (Sting)

- Sargas, 1.87, Yellow มีความสว่างปรากฏประมาณ 1.87 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 272 ปีแสง

- Lesath, 2.69 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.69 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 518 ปีแสง

- Sco, 2.9 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.9-3.0 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 522 ปีแสง

- Sco, 2.4 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.39-2.42 คาบประมาณ 0.2 วัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 464 ปีแสง

- Sco, 2.29 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.29 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 65 ปีแสง

- Sco, 2.89 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.29 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 459 ปีแสง

M6 - The Butterfly Open Cluster, 4.2 เป็นกระจุกดาวเปิดมีความสว่างปรากฏประมาณ 4.2 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Photo by: Naoyuki Kurita)

M7 - The Ptolemy's Open Cluster, 3.3 เป็นกระจุกดาวเปิดมีความสว่างปรากฏประมาณ 3.3 ซึ่งสว่างกว่า M6 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Photo by: Naoyuki Kurita)

IC4606 - The Red Nebula เป็นเนบิวลาสีแดง (The reddish Nebula) อยู่รอบๆดาวปาริชาต (Antares, -Sco) มองเห็นได้ด้วยกล้องดูดาว ที่เห็นในรูป จะอยู่มุมซ้ายล่าง ห่างจากโลกประมาณ 7,000 ปีแสง (Photo by: David Malin (AAO))

IC4604 - The Bluish Purple Nebula เป็นเนบิวลาสีม่วง อยู่รอบๆดาวโรห์ (-Ophiuchus) ซึ่งจริงๆแล้ว อยู่ในกลุ่มดาวคนแบกงู แต่อยู่ใกล้ IC4606 ซึ่งเหนือขึ้นไปเพียงเล็กน้อย ประมาณ 3 องศา จากดาวปาริชาตเท่านั้น ที่เห็นในรูป จะอยู่ด้านบน มองเห็นได้ด้วยกล้องดูดาว (Photo by: David Malin (AAO))

กลุ่มดาวคนยิงธนู

Sgr - Sagittarii / SAGITTARIUS - The Archer

กลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เก้าของกลุ่มดาวจักรราศี โดยกลุ่มดาวคนยิงธนู จะเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย เป็นครึ่งม้า ครึ่งคน เหมือนกลุ่มดาวม้าครึ่งคน (Centaurus) เพียงแต่คนยิงธนูเป็นนายพราน จึงมักจะสับสนกันบ่อย กลุ่มดาวคนยิงธนูจะหันปลายธนู ไปทางกลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius) แต่กลุ่มดาวที่ค่อนข้างสุกสว่างจริงๆ ของกลุ่มดาวนี้ เรามักจะเห็นเป็นรูปกาต้มน้ำ หันไปทางกลุ่มดาวแมงป่องมากกว่า โดยจะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนกรกฎาคม

- Rakbat, 4.1, Blue-white เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว แม้จะเป็นดาวอัลฟา แต่มีความสว่างปรากฏไม่มากนัก เพียงประมาณ 4.1 เท่านั้น ชื่อดาว หมายถึง "หัวเข่า" (The Knee)

1,2 - Arkab Prior, Arkab Posterior, 4.3, 4.5, Blue-White and White เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว แม้จะเป็นดาวเบตา แต่มีความสว่างปรากฏไม่มากนักเช่นกัน เพียงประมาณ 4.3 และ 4.5 เท่านั้น

- Alnasl, 2.99, Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.99 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 96 ปีแสง ดาวดวงนี้ มีอีกชื่อหนึงว่า "Nash" หมายถึง หัวลูกศรธนู

- Kaus Australis, 1.85, Blue-white เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างปรากฏประมาณ 1.85 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 145 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านใต้ของคันธนู (The Southern Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งด้านล่าง ของคันธนูนั่นเอง

- Kaus Meridionalis, 2.70 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.70 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 306 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง กลางของคันธนู (The Middle Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งกลางคันธนู

- Kaus Borealis, 2.81 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.81 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านเหนือของคันธนู (The Northern Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งด้านบน ของคันธนู

- Nunki, 2.02, Blue-white เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.02 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 224 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งมือขวาของคนยิงธนู ที่กำลังง้างธนู ชื่อดาวดวงนี้ ตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียน หมายถึง "ดาวที่ขึ้นมาก่อน ในทะเล" (the Star Preclaiming the Sea) เนื่องจาก กลุ่มดาวที่จะปรากฏตามมา ล้วนเป็นกลุ่มดาว ที่อยู่กับในทะเลทั้งสิ้น ได้แก่ กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius), กลุ่มดาวแพะทะเล หรือมกร (Capricornus), กลุ่มดาวปลาโลมา (Delphius), กลุ่มดาวปลาวาฬ (Cetus), กลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces), กลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus)

- Ascella, 2.60 มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.60 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 89 ปีแสง ชื่อดาว มาจากภาษาละติน หมายถึง ไหล่ (Armpit)

- Albaldah, 2.89 เป็นฤกษ์ในระบบดาวคู่ 3 ดวง มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.89 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 440 ปีแสง

M8 - The Lagoon Disfuse Nebula, 5.8 ลากูนเนบิวลา เป็นเนบิวลาสว่าง มีความสว่างปรากฏประมาณ 5.8 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา (Photo by: David Malin (AAO))

M17 - The Omega or Swan or Horseshoe Disfuse Nebula, 7.0 เป็นเนบิวลาสว่าง มีความสว่างปรากฏประมาณ 7.0 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา (Photo by: Yuuji Kitahara)
M22 - Globular Cluster, 5.1 เป็นกระจุกดาวทรงกลม มีความสว่างปรากฏประมาณ 5.1 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา (Photo by: Naoyuki Kurita)

M24 - Open Cluster, 4.5 เป็นกระจุกดาวเปิด มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.5 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Photo by: Naoyuki Kurita)

M25 - Open Cluster, 4.6 เป็นกระจุกดาวเปิด มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.6 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Photo by: Naoyuki Kurita)

กลุ่มดาวแพะทะเล

Cap - Capricorni / CAPRICORNUS - The Sea-Goat

กลุ่มดาวแพะทะเล หรือกลุ่มดาวมกร เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบของกลุ่มดาวจักรราศี และเป็นกลุ่มดาวแนวกาแล็กซี่ ทางช้างเผือก (The Milky Way) พาดผ่าน โดยกลุ่มดาวนี้ เป็นรูปครึ่งแพะ-ครึ่งปลา โดยส่วนหัวเป็นแพะ ส่วนหางเป็นปลา อยู่ทางทิศตะวันออกของ กลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) หรือลากเราสามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ ได้จากกลุ่มดาววีกา (Vega, -Lyr) ลากมายังดาวอัลแตร์ (Altair, -Aql) แล้วต่อมายังเขาของแพะทะเล (-) โดยกลุ่มดาวแพะทะเล จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนสิงหาคม โดยจะค่อนไปทางซีกฟ้าใต้ คนไทยมักเรียกผิด เป็น "กลุ่มดาวมังกร" (Drago)

- Algedi or Giedi, 3.6, Yellowish เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง ในระบบดาวคู่ มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.6 โดยชื่อดาวทั้งสองชื่อ หมายถึง "แพะ" (the Goat)

- Dabih, 3.08, Golden-Yellow เป็นดาวในระบบดาวคู่ที่อยู่ใกล้กันมาก มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.08 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 344 ปีแสง ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ผู้โชคดีในกลุ่มที่ถูกสังหาร" (The Lucky One of the Slaughterers) เนื่องจาก ในสมัยโบราณ จะนำแกะไปบูชายัณห์ให้กับดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่เข้าสู่กลุ่มดาวนี้

- Nashira, 3.8 มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.8 ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ผู้นำข่าวดี" (Bringer of Good Tidings)

- Deneb Algedi, 2.9 เป็นดาวแปรแสง ที่มีความสว่างปรากฏระหว่างประมาณ 2.83-3.05 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 39 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง "หางแพะ" (the Tail of the Goat)

กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ

Aqr - Aquarii / Aquarius - The Water-Carrier

กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบเอ็ด ของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากไม่มีดาวฤกษ์ดวงใด ในกลุ่มที่มีความสว่างปรากฏ สว่างกว่า 2.9 เลย คนโบาณ เห็นเป็นรูปคนแบกหม้อน้ำ กำลังเทน้ำลงในแม่น้ำ Fluvius Aquarii ซึ่งหมายถึง "the River of Aquarius" ซึ่งสายน้ำจะไหล ผ่านกลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) ที่มีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวโฟมาลออท (Fomalhaut) ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนสิงหาคม ต้นเดือนกันยายน

- Sadalmelik, 2.96, Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.96 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 756 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งไหล่ขวา ของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "ดาวโชคดีของกษัตริย์" (the Lucky Stats of the King)

- Sadalsuud, 2.91, Yellow เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างปรากฏประมาณ 2.91 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 612 ปีแสง อยู่ในตำแหน่งไหล่ซ้าย ของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง "โชคดีที่สุดของความโชคดี" (the Luckiest of the Lucky)

,,, - Aqr ดาวแกมมา, เซตา, เอตา และพาย เปนดาวฤกษ์ที่เรียงตัวกันเป็นรูปตัว Y อยู่ในตำแหน่งหม้อน้ำ (the Water Jar) โดยที่ดาวเซตา (-Aqr) ซึ่งอยู่ตรงกลาง เป็นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ มีความสว่างปรากฏ 4.3 และ 4.5 ตามลำดับ

NGC7293 - The Helix Nebula, 6 เป็นเนบิวลาดวงดาว (Planetary Nebula) ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเราที่สุด มีความสว่างปรากฏประมาณ 6 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา โดยจะมีขนาดปรากฏ ราวเส้นผ่านศูนย์กลาง ของดวงจันทร์ ห่างจากโลกประมาณ 300 ปีแสง (Photo by: )

กลุ่มดาวปลาคู่

Psc - Piscium / PISCES - The Fishes

กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบสองของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตค่อนข้างยาก เนื่องจากดาวฤกษ์ในกลุ่ม ไม่ค่อยสุกสว่างมากนัก โดยดาวฤกษ์ในกลุ่มดาว จะเรียงตัวกันเป็นรูปปลา 2 ตัว ที่มีเชือกมัดหางด้วยกันไว้ โดยที่ตัวแรก หันหัวไปทางทิศเหนือ อยู่ใต้กลุ่มดาวแอนโดรเมดา (Andromeda) ส่วนอีกตัวหนึ่ง จะขนานไปกับสุริยวิถี โดยมีวงของดาว 5 ดวง ประกอบด้วย ดาว ,,,, เรียกว่า "The Circlet" อยู่ทางทิศใต้ของสี่เหลี่ยมกลุ่มดาวม้าปีก (the Great Square of Pegasus) โดยจุดรวมที่เชือกมัด หางของปลาทั้งสองไว้ คือดาว Alrischa กลุ่มดาวปลาคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนกันยายน, ต้นเดือนตุลาคม

- Alrischa, 3.79, Blue-White เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน มีความสว่างปรากฏประมาณ 3.79 เป็นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ สังเกตแยกออกได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ ความสว่างปรากฏประมาณ 4.2 และ 5.1 ตามลำดับ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 100 ปีแสง เป็นจุดที่เชือกที่มัดปลาทั้งสอง มัดเข้าไว้ด้วยกัน ชื่อดาว หมายถึง "เชือก" (the Cord)

- Psc, 4.01, Blue-White เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน มีความสว่างปรากฏประมาณ 4.01 เป็นจุดที่เป็นจุดตัดระหว่างสุริยวิถี และเส้นศูนย์สูตรฟ้าในยุคปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า "Equinox", "Aries Equinox", "0 Aries" หรือ "March Equinox" นั่นเอง



วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โลก

โลก (Earth)

โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงโคจรซึ่งใช้เวลา 365.25 วัน เพื่อให้ครบ 1 รอบ ปฏิทินแต่ละปีมี 365 วัน ซึ่งหมายความว่าจะมี 1/4 ของวันที่เหลือในแต่ละปี ซึ่งทุกๆปีสี่ปีจะมีวันพิเศษ คือจะมี 366 วัน กล่าวคือเดือนกุมภาพันธ์จะมี 29 วัน แทนที่จะมี 28 วันเหมือนปกติ ตามที่เคปเลอร์ค้นพบวงโคจรของโลกไม่เป็นวงกลม ในเดือนธันวาคมมันจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าเดือนมิถุนายน ซึ่งมันจะอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด โลกจะเอียงไปตามเส้นแกน ในเดือนมิถุนายน ซีกโลกเหนือจะเอียงไปทางดวงอาทิตย์ดังนั้น ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูร้อนและซีกโลกใต้จะเป็นฤดูหนาว ในเดือนธันวาคมจะเอียงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกเหนือเป็นฤดูหนาวและซีกโลกใต้เป็นฤดูร้อน ในเดือนมีนาคมและกันยายน ซีกโลกทั้งสองไม่เอียงไปยังดวงอาทิตย์ กลางวันและกลางคืนจึงมีความยาวเท่ากัน ในเดือนมีนาคม ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ และซีกโลกใต้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนกันยายน สถานการณ์จะกลับกัน
โลกมีอายุประมาณ 4,700 ปี โลกไม่ได้มีรูปร่างกลมโดยสิ้นเชิง เส้นรอบวงที่เส้นศูนย์สูตรยาว 40,077 กิโลเมตร (24,903 ไมล์)และที่ขั่วโลกยาว 40,009 กิโลเมตร (24,861 ไมล์)



ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ จะมีฤดูกาลเป็นของตนเองและระยะของการโคจร ความยาวของปีดาวเคราะห์เป็นเวลาที่มันหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ ถ้าคุณอยู่บนดาวพุธ ปีของคุณจะมีเพียง 88 วันของโลก บนดาวพูลโต ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่นอกสุดหนึ่งปีจะเท่ากับ 248 วันบนโลก

ดวงจันทร์
ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ดวงจันทร์เป็นดวงดาวใหญ่ที่สุด และสว่างที่สุดในท้องฟ้ากลางคืน ดวงจันทร์ส่องแสง แต่แสงที่ส่องนั้นมิได้เปล่งออกมาจากดวงจันทร์เอง ดวงจันทร์เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะสะท้อนแสงนั้นออกมา ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นระยะทางไกลมากคือ ระยะสิบเท่าของเส้นรอบโลกยังสั้นกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์

วัฏจักรของดวงจันทร์
เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter) วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon) หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา



โลก

โลก (Earth)

โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงโคจรซึ่งใช้เวลา 365.25 วัน เพื่อให้ครบ 1 รอบ ปฏิทินแต่ละปีมี 365 วัน ซึ่งหมายความว่าจะมี 1/4 ของวันที่เหลือในแต่ละปี ซึ่งทุกๆปีสี่ปีจะมีวันพิเศษ คือจะมี 366 วัน กล่าวคือเดือนกุมภาพันธ์จะมี 29 วัน แทนที่จะมี 28 วันเหมือนปกติ ตามที่เคปเลอร์ค้นพบวงโคจรของโลกไม่เป็นวงกลม ในเดือนธันวาคมมันจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าเดือนมิถุนายน ซึ่งมันจะอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด โลกจะเอียงไปตามเส้นแกน ในเดือนมิถุนายน ซีกโลกเหนือจะเอียงไปทางดวงอาทิตย์ดังนั้น ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูร้อนและซีกโลกใต้จะเป็นฤดูหนาว ในเดือนธันวาคมจะเอียงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกเหนือเป็นฤดูหนาวและซีกโลกใต้เป็นฤดูร้อน ในเดือนมีนาคมและกันยายน ซีกโลกทั้งสองไม่เอียงไปยังดวงอาทิตย์ กลางวันและกลางคืนจึงมีความยาวเท่ากัน ในเดือนมีนาคม ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ และซีกโลกใต้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนกันยายน สถานการณ์จะกลับกัน
โลกมีอายุประมาณ 4,700 ปี โลกไม่ได้มีรูปร่างกลมโดยสิ้นเชิง เส้นรอบวงที่เส้นศูนย์สูตรยาว 40,077 กิโลเมตร (24,903 ไมล์)และที่ขั่วโลกยาว 40,009 กิโลเมตร (24,861 ไมล์)



ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ จะมีฤดูกาลเป็นของตนเองและระยะของการโคจร ความยาวของปีดาวเคราะห์เป็นเวลาที่มันหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ ถ้าคุณอยู่บนดาวพุธ ปีของคุณจะมีเพียง 88 วันของโลก บนดาวพูลโต ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่นอกสุดหนึ่งปีจะเท่ากับ 248 วันบนโลก

ดวงจันทร์
ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ดวงจันทร์เป็นดวงดาวใหญ่ที่สุด และสว่างที่สุดในท้องฟ้ากลางคืน ดวงจันทร์ส่องแสง แต่แสงที่ส่องนั้นมิได้เปล่งออกมาจากดวงจันทร์เอง ดวงจันทร์เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะสะท้อนแสงนั้นออกมา ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นระยะทางไกลมากคือ ระยะสิบเท่าของเส้นรอบโลกยังสั้นกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์

วัฏจักรของดวงจันทร์
เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter) วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon) หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา